ร่วมงานกับเรา
ข่าวสารรถจักรยานยนต์ทั่วไป > 2550 > ฟูเซ่นทุ่ม 940 ล้าน เปิดโรงงานผลิต T-UNITED สกูตเตอร์น้องใหม่
ฟูเซ่นทุ่ม 940 ล้าน เปิดโรงงานผลิต T-UNITED สกูตเตอร์น้องใหม่
ที่มา - นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 19-21 เม.ย.50

T-UNITED สกูตเตอร์น้องใหม่ โดยนำเข้าอะไหล่จากจีน ทุ่ม 940 ล้าน เปิดโรงงานใหม่ที่กบินทร์บุรี เตรียมเจาะตลาดภูธร มีความสามารถผลิตป้อนตลาดถึง2แสนคนปี2551 พร้อมบินขยายตลาดทั่วเอเชีย

นางสาวทัศนีย์ ตรัยรัตนพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ฟูเซ่น แองเจิ้ล มอเตอร์ จำกัด เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากกระแสความนิยมรถที่สามารถประหยัดพลังงานมีสูงขึ้น ทางบริษัทจึงได้มีการเตรียมเปิดโรงงานแห่งใหม่ ที่นิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี โดยใช้งบประมาณกว่า 940 ล้านบาท บนเนื้อที่กว่า 40 ไร่ ที่

"ทางผู้บริหารมีนโยบายที่จะเปิดโรงงานใหม่เพื่อผลิตรถจักรยานยนต์ไฮบริด โดยนำเข้าอะไหล่มาจากประเทศจีน เพื่อลดต้นทุนการผลิตเข้ามาขาย ซึ่งโรงงานแห่งนี้มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 940 ล้านบาท คาดว่าในเดือนพฤศจิกายนจะสามารถสร้างโรงงานเสร็จ และพร้อมดำเนินการผลิตรถรถจักรยานยนต์ไฮบริด ได้เต็มรูปแบบ สามารถออกขายได้ทันปลายปีนี้แน่นอน"

สำหรับรถจักรยานยนต์ไฮบริด มีข้อดีก็คือ สามารถใช้ได้ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน ซึ่งเมื่อแหล่งพลังงานใดหมดก็สามารถใช้พลังงานจากอีกแหล่งหนึ่งได้ นอกจากนี้ยังสามารถขยายกลุ่มลูกค้าได้ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด เนื่องจากที่ผ่านมาลูกค้าในกรุงเทพจะซื้อรถไฟฟ้าเป็นหลัก ทำให้สัดส่วนของลูกค้าอยู่ในกรุงเทพมากถึง 60% ขณะที่ต่างจังหวัดยังเน้นการใช้รถน้ำมันมากกว่าดังนั้นยอดขายจะมาจากตลาดต่างจังหวัดเพียง 40% ราคาขายก็จะอยู่ประมาณ 45,000 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่า เพราะสามารถประหยัดน้ำมันได้มาก

ตนมองว่าตอนนี้คนทั่วไปยังไม่รู้จักรถระบบไฟฟ้า และสกุ๊ตเตอร์มากนัก จึงต้องพยายามอย่างมากในการเจาะตลาด รถจักรยานยนต์ไฮบริด เองเมื่อออกมาขาย ก็จะเป็นกลุ่มเดียวกับรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้น้ำมัน การแข่งขันจึงสูงจึงต้องเน้นด้านการบริการให้มากเพราะตนเชื่อว่าในอีกไม่นานลูกค้าในภูธรจะเข้าใจในเรื่องการประหยัดพลังงาน

ล่าสุดบริษัทได้มีการเปิดตัวรถมอเตอร์ไซด์สกู๊ตเตอร์ ที่สามารถใช้ได้ทั้งพลังงานไฟฟ้าและน้ำมัน ปัจจุบันบริษัทมีรถ 3 ประเภทหลักที่จำหน่ายในตลาดคือ ประเภทออนเดอะโรดเป็น รถสกุ๊ตเตอร์ไฟฟ้าขนาด 280-500 วัตต์ สามารถจดทะเบียนวิ่งบนถนนใหญ่ได้ มีสัดส่วน 40% ของยอดจำหน่ายทั้งหมด

กลุ่มที่สองเป็นรถเพื่อการสันทนาการและโรงงาน ทั้งแบบ สองล้อ และ สามล้อ ส่วนใหญ่จะเป็นรถสกุ๊ตเตอร์ที่ใช้ในเขตอุตสาหกรรม มีให้เลือกทั้งแบบน้ำมันและไฟฟ้าคิดเป็นสัด ส่วน 40% ของยอดจำหน่ายทั้งหมด และสุดท้ายคือกลุ่มแอดเวนเจอร์ ซึ่งเป็นที่ใช้ในรีสอร์ต หรือโรงแรม เป็นรถเอทีวี ส่วนใหญ่ลูกค้าจะซื้อไปไว้บริการแขกที่มาพัก หรือคนที่มีไร่-นา ขนาดกลางขึ้นไปก็จะซื้อไว้ใช้ ซึ่งที่มีทั้งระบบไฟฟ้า และน้ำมันเชื้อเพลิง คิดเป็นสัดส่วน 20% ของยอดจำหน่ายทั้งหมด โดยทั้ง3 กลุ่มนี้ มีสินค้ามากกว่า 40 แบบ ให้เลือก

"เราตั้งเป้าไว้ว่าหลังจากโรงงานสามารถผลิตได้เต็ม 100% ในช่วงต้นปี 2551 จะสามารถผลิตรถจักรยานยนต์ไฮบริด ออกขายได้ประมาณ ปีละ 200,000 คัน โดยจะเป็นการส่งขายตลาดในประเทศ 20% และส่งออกไปยังประเทศในเอเชีย อาทิ สิงค์โปร์ , เวียดนาม , บังคลาเทศ ฯลฯ ประมาณ 80%"

อนาคตตั้งเป้าไว้ว่าจะตั้งตัวแทนจำหน่ายให้ได้ ทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ โดยในปี 50 นี้จะสามารถตั้งเพิ่มได้จำนวน 20 แห่ง รวมกับเดิมที่มีอยู่จะเป็นจำนวน 60 แห่ง ซึ่งถือว่าครอบคลุมจังหวัดใหญ่ๆได้เกือบทั้งหมด โดยจะเดินหน้าเปิดที่ภาคเหนือ อาทิใน จ.เชียงใหม่ เพิ่มเติมก่อนภาคอื่นๆ เพราะมองว่ามีกำลังซื้อที่สูง