ร่วมงานกับเรา
ข่าวสารรถจักรยานยนต์ทั่วไป > เผยตัวเลขคนไทยตายร้อยละ 40 เพราะไม่นิยมสวมหมวกกันน็อก
เผยตัวเลขคนไทยตายร้อยละ 40 เพราะไม่นิยมสวมหมวกกันน็อก เฉลี่ย 2 ชม.มีคนพิการเพิ่มขึ้น ต่อปี 3 พันคน
ที่มา - เว็บไซต์แนวหน้า วันที่ 28 ม.ค.54

ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดโครงการปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100% โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายโสภณ ซารัมย์ รมว.มนาคม พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. และนายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธอบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมงาน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน กล่าวรายงานว่า อุบัติเหตุทางถนนเป็นสาเหตุลำดับต้นของการเสียชีวิต บาดเจ็บและพิการของคนไทย โดยเฉพาะผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ร้อยละ 40 ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ ในช่วงเทศกาลมีผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงถึงร้อยละ 80 หรือเฉลี่ยผู้สียชีวิตจากการขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ประมาณวันะ 24 คน แม้สถิติตัวเลขการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนจะมีแวโน้มลดลง จากปี 2547 ที่มียอดสูงถึง 14,000 คน ในปี 2552 ลดลงเหลือ 11,000 คน แต่ก็ยังเป็นตัวเลขที่น่ากังวลเพราะ 12 ใน4 ของผู้เสียชีวิตเป็นเด็กและเยาวชน

นอกจากนี้ ยังมีผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแต่ละปีมากกว่า 1 แสนคน ที่สำคัญต้องกลายเป็นคนพิการปีหนึ่งถึง 3,000 คน โดยเฉลี่ยทุก 2 ชั่วโมงจะมีผู้พิการเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เกิดจากมีพฤติกรรมเสี่ยง ที่สำคัญคือการไม่สวมหมวกนิรภัย ความสูญเสียเมื่อคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยสูญเสียทางเศรษฐกิจเพราะอุบัติเหตุทางถนนปัละ 2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 2.8 ของ จีดีพีประเทศ ทางศูนย์อำนวยการปลอดภัยทางถนน ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาจึงดำเนินนโยบาย ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนนตามที่รัฐบาลกำหนดเป็นเป้าหมายและแนวทาง โดยจัดทำโครงการปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100% มีเป้าหมายให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถจักรยานยนสวมหมวกนิรภัยเพื่อความ ปลอดภัยของตัวเอง ซึ่ง ครม.มีมติเห็นชอบให้ปีนี้เป็นปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100%

นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า 2 ปี ที่ผ่านมารัฐบาลให้ความสำคัญต่อการดำเนินนโยบายความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนน และป้องกันไม่เกิดการสูญเสีย องค์การสหประชาชาติได้กำหนดว่าอุบัติเหตุทางถนนเป็นปัญหาระดับโลกสมควรที่ ทุกประเทศจะร่วมมือแก้ไข และกำหนดให้ช่วงทศวรรษตั้งแต่ปี คศ.2011-2020 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศให้ช่วงดังกล่าวเป็นทศวรรษความปลอดภัยทางถนนโดยมีเป้า หมายลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2563 หรือ มีอัตราการตายไม่เกิน 10 คนต่อประชากรไม่เกิน 1 แสนคน ซึ่งการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวมีปัจจัยหลายด้าน ประกอบด้วย พฤติกรรมของทุกคนที่ต้องช่วยกันพัฒนาด้านความพร้อมของผู้ขับขี่ ต้องมีความรู้ มีสมรรถนะในการขับขี่รถยนต์ด้วยความปลอดภัย ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดแลบะสร้างความเรียนรู้ความปลอดภัยในสถาน ศึกษา ปัจจัยที่สอง การทำงานในโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งทางบก ทั้งเรื่องของผังเมือง ถนน มีการปรับปรุงจุดที่มีอุบัติเหตุซ้ำซากให้เกิดความปลอดภัยสำหรับผู้เดินทาง ปัจจัยที่สามที่ด้ดำเนินการคือสมรรถนะของยานพาหนะ โดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัยรถโดยสารของยานพาหนะ รถตู้ รถนักเรียน รวมทั้งได้กำหนดมาตรฐานและการควบคุมกำกับที่มีคุณภาพให้เกิดความปลอดภัย และเชื่อมั่นให้กับประชาชน เพราะอุบัติเหตุหลายครั้งเป็นผลที่เกิดมาจากการดัดแปลงยานยนต์หรือรถ ประดิษฐ์เองที่มีสภาพไม่ปลอดภัย และปัจจัยสุดท้าย คือ การบังคับใช้กฎหมาย มีการกวดขันอย่างเคร่งครัดสร้างความเข้มแข็งให้เจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้ กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดอุลบัติเหตุทางถนน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการ ทศวรรษความปลอดภัยทางถนน วางแนวทางที่จะพัฒนาภายใน 10 ปี คือการส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย การลดพฤติกรรมเสี่ยงจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และขับขี่ยานพาหนะ การแก้ไขปัญหาจุดเสี่ยง จุดอันตราย การปรับพฤติกรรมการใช้ความเร็ว การยกระดับมาตรฐานยานพาหนะให้ปลอดภัย การพัฒนาสมรรถนะผู้ใช้รถใช้ถนน การพัมนาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน และการพัฒนาระบบการบริหารจัดการ และว่าแม้เราจะมีกฎหมายออกมาบังคับใช้ แต่ปัจจุบัน มีผู้ขับขี่ที่สวมหมวกนิรภัยเพียงร้อยละ 60 ส่วนผู้โดยสารสวมเพียงร้อยละ 30 เจ้าหน้าก็ไม่สามารถกวดขันบังคับใช้ตามกฎหมายได้ จึงต้องรณรงค์ให้มากขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง นอกจากนี้รัฐบาลจะเร่งส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชน ผู้ประกอบการให้ดำเนินการตามกฎหมาย และจะร่วมมือกับสถาบันการศึกษาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัย การประสานภาคเอกชนผลิตหมวกนิรภัยในราคาที่เหมาะสม

“การสูญเสียที่เกิดขึ้นจำนวนมากเกิดขึ้นจากพฤคติกรรมของตัวเราเอง ซึ่งผมมั่นใจว่าถ้าสามารถทำให้ทุกคนตระหนักก็จะทำให้เกิดการตื่นตัว ให้ความร่วมมือกับการรณรงค์ ซึ่งการเริ่มต้นจากการสวมหมวกนิรภัยจึงหวังว่าจะได้รับความร่วมมือทุกฝ่าย

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้รับมอบหมวกนิรภัยจากผู้แทนภาคีเครือข่ายความปลอดภัยทางถนน พร้อมมอบให้กับทูตรณรงค์และผู้แทนกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ เด็ก เยาวชน ภาคแรงงานและกลุ่มมอเตอร์ไซด์รับจ้าง เพื่อเป็นการประกาสวาระการเริ่มต้นการรณรรงค์สวมหมวกนิรภัยทั่วประเทศ