ร่วมงานกับเรา
ข่าวสารรถจักรยานยนต์ทั่วไป > 2548 > ปี 2553 รถจีนจะครองอันดับ 3 ของโลก บุกแล้ว 2 ยี่ห้อไทยเป้าหมายแรกในเอเชีย
ปี 2553 รถจีนจะครองอันดับ 3 ของโลก บุกแล้ว 2 ยี่ห้อไทยเป้าหมายแรกในเอเชีย
ที่มา - เว็บไซต์สยามธุรกิจ วันที่ 13 ก.ค.48

การขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์จีนที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าในปี 2553 จีนจะผลิตรถยนต์ได้รวม 8 ล้านคันและจะไต่อันดับขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับที่ 3 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น และจะกลายเป็นผู้ส่งออกรถยนต์อันดับต้นๆ ของเอเชียซึ่งคาดว่าในปี 2553 จะมีการส่งออกรถยนต์ถึง 3 ล้านคัน โดยการขยายตัวดังกล่าวนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 ที่มียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 38.5%หรือ 3,248 ล้านคันถึงในปี 2547 มีการผลิตรถยนต์ทั้งหมดครบ 5 ล้านคัน

ที่สำคัญในระหว่างปี 2528-2539 รัฐบาลจีนได้อนุญาตให้มีการร่วมทุนระหว่างรัฐวิสาหกิจของจีนกับผู้ผลิตรถยนต์ข้ามชาติ เพื่อผลิตรถยนต์นั่งสำหรับประชาชนทั่วไป ซึ่งในช่วงแรกนั้นมีการจำกัดผู้ผลิตรถยนต์เพียง 8 รายคือ เดมเลอร์ไครสเลอร์, โฟล์คสวาเก้น, เปอโยต์, ไดฮัทสุ, ซูซูกิ, ฟูจิ เฮฟวี่ อินดัสตรี้ และซีตรอง

ต่อมาหลังปี 2541 ทางการจีนยกเลิกข้อจำกัดจำนวนผู้ผลิตรถยนต์จากต่างชาติที่กำหนดไว้ 8 ราย ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่น อย่าง ฮอนด้า, มาสด้า, โตโยต้า, นิสสัน และมิตซูบิชิ แห่กันเข้าไปลงทุนในจีนในช่วงปี 2545-2546 หลังจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ทำให้ในปี 2546 จีนกลายเป็นฐานการลงทุนของผู้ผลิตรถยนต์ข้ามชาติเกือบทุกค่าย เกิดการผลิตรถยนต์ถึง 45 รุ่น จากที่มีอยู่ 11 รุ่นในปี 2541 และถึงขณะนี้จีนมีผู้ผลิตรถยนต์กว่า 2,000 ราย

และไทยเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ที่กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในจีนต้องการส่งรถจากฐานผลิตในจีนเข้ามาจำหน่ายยังประเทศไทย โดยใช้ความได้เปรียบในเรื่องของราคา เพราะจีนมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าประเทศไทย โดยขณะนี้มีการส่งรถจากจีนเข้ามาจำหน่ายในไทยแล้ว ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ด้วยการใช้จังหวะที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินฝืด เพราะค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และปัญหาราคาน้ำมันแพงเป็นช่องว่างที่ทำให้รถจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาดเมืองไทยได้ง่ายขึ้น

"วู่หลิง" เป็นรถจีนยี่ห้อแรกที่เข้ามาเปิดตลาดอย่างเป็นทางการเป็นเวลากว่า 3 ปี เจาะช่องว่างรถปิคอัพใช้งานขนาดเล็ก ซึ่งนำเข้าโดย บริษัท พีวีเอ มอเตอร์ 2056 จำกัด

นายรมณ์ จตุรงคปัญญา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีวีเอ มอเตอร์ เปิดเผยว่าตั้งแต่เปิดตลาดผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ รถหลายๆ รุ่นที่ได้นำเข้ามายังประเทศไทยก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าจนต้องมีการนำเข้ารุ่นใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้า

แต่เป้าหมายสำคัญของการเปิดตลาดรถจีนก็คือ การร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของตัวรถให้ใช้งานได้หลายๆ ประเภทอาทิ ร้านขายของเคลื่อนที่ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ผลจากการตอบรับเป็นอย่างดีนี้เอง ส่งผลให้มีการขยายจำนวนผู้แทนจำหน่ายเพิ่มเป็น 7 สาขา และภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 10–12 สาขา

"เฉพาะช่วงมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมามีผู้ที่สนใจเข้ามาจองรถของวู่หลิงกว่า 300 คัน ซึ่งในเวลานี้เราก็กำลังทยอยส่งมอบ พร้อมกันนั้นเราก็มีรถในรุ่นใหม่ระบบ 5 เกียร์ ดิสก์เบรก ในราคา 295,000 บาท และผ่อนเพียงเดือนละประมาณ 6,000 กว่าบาทซึ่งตรงนี้ก็เป็นอีกข้อเสนอที่ตรงใจของผู้ใช้รถในสถานการณ์เศรษฐกิจเช่นนี้ และคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีจะมียอดขายรวม 500 คัน"

อย่างไรก็ตามแม้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคคนไทย จนถึงขนาดที่ผู้บริหารมีแนวคิดจะย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย แต่พอมาถึงปัจจุบันแผนการดังกล่าวก็ยังสะดุด เนื่องจากจีนได้ยกเลิกโควต้าการนำเข้ารถยนต์และลดภาษีรถยนต์ ซึ่งมาตรการดังกล่าวก่อให้เกิดความคล่องตัวในประเทศจีนเป็นอย่างมาก ประกอบกับความได้เปรียบเรื่องของค่าแรงที่ต่ำ ทำให้การย้ายฐานการผลิตเข้ามายังประเทศไทยยังคงเป็นแผนที่ต้องพับทิ้งไว้ก่อน

ในส่วนของตลาดรถจักรยานยนต์สัญชาติจีน "แพล็ททินัม" คือยี่ห้อแรกที่เข้ามาเปิดตลาดในไทยด้วยกลยุทธ์ราคาต่ำ ที่ขายราคาเริ่มต้น 28,500 บาท และทุ่มทุนกว่า 2,000 ล้านบาทเพื่อเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทย

นายสมนึก วิทยารักษ์สรรค์ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหไทย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท แพล็ททินัม มอเตอร์ เซลส์ จำกัด เปิดเผยว่าการเปิดตัวจักรยานยนต์ "แพล็ททินัม" ครั้งนี้เป็นการปฏิวัติราคารถจักรยานยนต์เมืองไทยให้ถูกลงและส่งสัญญาณการต่อสู้กับคู่แข่ง ด้วยการเปิดตัวพร้อมกันถึง 38 รุ่น ครอบคลุมทุกประเภทตั้งแต่ รถครอบครอบ รถสกู๊ตเตอร์ รถช้อปเปอร์ และรถเอทีวี และในวันแรกของการเปิดรับจองมียอดสั่งซื้อแล้วกว่า 150,000 คัน ถือว่าเป็นยอดจองที่สูงสุดของการเปิดตัวรถจักรยานยนต์ในเมืองไทย

และวางแผนต้องการโค่นเจ้าตลาด ฮอนด้า โดยในเบื้องต้นมีการตั้งเป้ายอดขายรถในสิ้นปีนี้ไว้ 200,000 คัน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 6,000 ล้านบาท จากปริมาณตลาดรวมที่คาดว่าจะเกิน 2 ล้านคันในปี 2548 นี้ และในปี 2549 ยอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนคัน คิดเป็นมูลค่า 10,000 ล้านบาท จากนั้นใน 5 ปีจะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 2 ของตลาดรถจักรยานยนต์ และจะก้าวสู่อันดับ 1 ในอนาคต

ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมารถที่ขายดีที่สุดได้แก่ รถรุ่นครอบครัว ประมาณ 30% รองลงมาคือรถในรุ่น ช้อปเปอร์ 20%, รถในรุ่น สปอร์ต 20% และในรุ่นอื่นๆ อาทิเช่น สกู๊ตเตอร์ เอทีวี 30% ซึ่งหากการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ จะส่งผลให้อีก 3 ปี บริษัทสามารถที่จะเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

เรียกว่าเป็นการวาดแผนไว้อย่างสวยงามสำหรับน้องใหม่รายนี้ แต่ทว่าในถนนสายธุรกิจย่อมมิได้มีอะไรที่จะได้มาโดยง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเหลียวมองดูรอบๆตัวของตลาดสองล้อ ก็จะพบว่าตลาดนี้กำลังรับผลกระทบอย่างหนักจากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาน้ำมันแพง รวมไปถึงการแข่งขันกันเองของผู้ผลิต ซึ่งจากปัจจัยเช่นนี้จึงทำให้หลายคนเป็นห่วงว่าน้องใหม่รายนี้จะรอดปากเหยี่ยวปากกาได้หรือไม่

นอกจากเหตุผลดังที่กล่าวมาด้านบนแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทาง "แพล็ททินัม" ต้องคิดเป็นการบ้านนั่นก็คือ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงติดภาพพจน์ของสินค้าจากประเทศจีนว่าไม่ได้คุณภาพ อีกทั้งการที่ แพล็ททินัม เข้ามารุกตลาดด้วยกลยุทธุ์ราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง ยิ่งทำให้อีกหลายคนเริ่มคำนึงถึงคุณภาพของตัวรถว่าจะสู้กับเจ้าตลาดอย่าง ฮฮนด้า ยามาฮ่า หรือ ซูซูกิ ได้หรือไม่อย่างไร

รวมไปถึงการสร้างแรงจูงใจในการออกแคมเปญต่างๆ นั้นก็ไม่ได้มีรูปแบบที่แตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ มากนัก เนื่องจากในปัจจุบันตลาดสองล้อบ้านเรามีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด และเป็นการต่อสู้กันในทุกรูปแบบ ดังจะเห็นจากโฆษณาต่างๆ ที่ชักจูงให้ผู้บริโภคสามารถนำรถออกไปขี่ได้โดยไม่ต้องวางเงินดาว์น หรือวางเงินดาว์นด้วยเงินเพียงไม่กี่ร้อยบาทก็สามารถนำรถไปขี่ได้ หรือจะเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรทางการเงินอย่างอิออนในการให้สิทธิพิเศษในการซื้อรถ ซึ่งการร่วมมือประเภทนี้ก็มีให้เห็นในตลาดมานานแล้วเช่นกัน

เรียกได้ว่าการเข้ามารุกตลาดของทั้ง 2 เจ้าจากประเทศจีนนั้น ต่างก็ได้รับการตอบรับที่ดี แต่ทว่าในอนาคตการต่อสู้ก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป จึงเป็นการบ้านกองมหึมาที่ทั้ง "วู่หลิง" และ "แพล็ททินัม" ยังต้องขบคิด ว่าจะต่อสู้กับสถานการณ์ต่างๆ รอบข้างเช่นไร และจะต้องงัดเอากลยุทธ์อะไรเข้ามาต่อสู้ถึงจะยืนหยัดอยู่ได้