 
            
            
            
            
        
ตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยเป็นตลาดที่ใหญ่ตลาดหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา ตลาดรถจักรยานยนต์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์สูงขึ้นโดยตลอด จาก 603,966 คัน ในปี 2542 เป็น 2,039,394 คันในปี 2547 มีการขยายตัวไม่น้อยกว่า 15% ต่อปี และคาดหมายกันว่าในปี 2548 จะมีอัตราการขยายตัวไม่น้อยกว่า 8% จากตลาดรถจักรยานยนต์ปี 2547 กล่าวคือในปี 2548 น่าจะมียอดจำหน่ายประมาณ 2.2 – 2.3 ล้านคัน
| หน่วย 
                                : คัน | 2541 | 2542 | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | 
| ยอดขาย | 626,806 | 603,966 | 783,716 | 907,160 | 1,332,744 | 1,766,860 | 2,039,394 | 
| Growth Rate (%) | -3.64 | 29.76 | 15.75 | 46.91 | 32.57 | 15.42 | 
                    สิ่งที่ทำให้รถจักรยานยนต์ในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตอย่างมากนั้น เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์และโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศเอื้ออำนวย 
                    โดยเฉพาะทางด้านภูมิศาสตร์ ประเทศไทยมีประชากรกว่า 65 ล้านคน มีพื้นที่เป็นที่ราบเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เส้นทางคมนาคมยังพัฒนาไม่ทั่วถึง 
                    รถจักรยานยนต์จึงกลายเป็นพาหนะที่สะดวกที่สุด นอกจากนี้ในเขตเมือง เช่น กรุงเทพฯ 
                    หรือจังหวัดใหญ่ๆ ซึ่งการจราจรติดขัด ประชาชนจำนวนมากนิยมใช้รถจักรยานยนต์เพื่อความรวดเร็วในการเดินทาง
สำหรับตลาดประเทศไทย รถจักรยานยนต์ถูกผูกขาดโดยบริษัทญี่ปุ่น 4 ยี่ห้อ คือ ยามาฮ่า, ฮอนด้า, คาวาซากิ, และซูซูกิ โดยเริ่มเข้ามาวางตลาดในประเทศไทยเมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้รถจักรยานยนต์ที่รู้จักกันส่วนใหญ่มาจาก ยุโรป ไม่ว่าจะเป็นไทรอัมพ์ หรือ บีเอ็มดับบลิว แต่ด้วยความที่ญี่ปุ่นมีราคาถูก ได้รับการพัฒนาสินค้าในรูปแบบใหม่ และมีขนาดเหมาะสมกับสรีระชาวไทย ทำให้ประสบความสำเร็จในประเทศไทยเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
ปัจจุบันตลาดจักรยานยนต์มีการแข่งขันค่อนข้างสูงระหว่างผู้ผลิตรายใหญ่ โดยมีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ เข้ามาช่วงชิงตลาดด้วย ได้แก่ ไทเกอร์ และ เจ อาร์ ดี ในจำนวนผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้ง 6 รายนี้ ช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดที่มีมูลค่าเฉลี่ยสูงกว่า 75,000 ล้านบาท โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมายี่ห้อจักรยานยนต์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด คือ ฮอนด้า ส่วนลำดับที่สอง เป็นการช่วงชิงกันระหว่าง ซูซูกิ กับ ยามาฮ่า ส่วนอันดับที่สี่คือ ไทเกอร์ คาวาซากิ และ เจ อาร์ ดี เป็นอันดับสุดท้าย ในปี 2547 จากยอดขายในประเทศทั้งสิ้น 2,039,394 คัน สามารถแบ่งเป็นสัดส่วนตามยี่ห้อต่างๆ ดังนี้
| ยี่ห้อรถ |  HONDA | YAMAHA |  SUZUKI | TIGER | KAWASAKI | JRD 
                                & OTHERS | Total | 
| เปอร์เซ็นต์ | 70  | 14 | 12  | 2 | 1 | 1  | 100 | 
                    ส่วนยอดขายรถจักรยานยนต์ ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร ตลาดรถจักรยานยนต์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 
                    ยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์สูงขึ้นโดยตลอด จาก 70,365 คัน ในปี 2541 เป็น 304,926 คันในปี 2547 มีการขยายตัวเฉลี่ย 28.7% ต่อปี และคาดหมายกันว่าในปี 2548 จะมีอัตราการขยายตัวไม่น้อยกว่า 8% ต่อปี เช่นเดียวกับตลาดรถจักรยานยนต์ทั่วประเทศ
ตลาดรถจักรยานยนต์ในเขตกรุงเทพมหานคร
| หน่วย 
                                : คัน | 2541 | 2542 | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | 
| ยอดขาย | 70,365 | 87,770 | 108,109 | 134,216 | 210,891 | 248,606 | 309,926 | 
| Growth Rate (%) | 24.74 | 23.17 | 24.15 | 57.13 | 17.88 | 24.67 | 
                    รถจักรยานยนต์ที่จำหน่ายในประเทศไทยนั้น แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ รถครอบครัว รถครอบครัวกึ่งสปอร์ต และรถสปอร์ต ซึ่ง รถครอบครัว มีสัดส่วนการจำหน่ายสูงสุด ในสัดส่วนประมาณ 92% รองลงมาเป็น รถครอบครัวกึ่งสปอร์ต มีสัดส่วนประมาณ 7% ส่วน รถสปอร์ต มีสัดส่วนน้อยที่สุด คือประมาณ 1% (ตัวเลขในปี 2547) 
                    และจากการมองแนวโน้มด้านพฤติกรรมของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในประเทศ มีการปรับเปลี่ยนความนิยมเป็นรถประเภทรถครอบครัว 
                    เพราะเป็นรถที่สะดวกและเหมาะกับลักษณะการใช้งาน อีกทั้งเป็นรถที่มีความประหยัดมาก 
                    คาดว่ารถประเภทรถครอบครัว ยังคงมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประมาณการกันว่าสัดส่วนน่าจะเกินกว่า 90% อย่างแน่นอน 
                    โดยในปัจจุบันนี้มีการเพิ่มประเภทของรถจักรยานยนต์ใหม่อีก 1 ประเภท คือ รถแบบสกู๊ตเตอร์ โดยในปี 2547 รถประเภทสกู๊ตเตอร์เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น
โดยสรุปแล้วตลาดรถจักรยานยนต์จะยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตอยู่ และจากสภาพการจราจรในปัจจุบันจะเป็นตัวกระตุ้นให้ความต้องการรถจักรยานยนต์เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยผู้อยู่ในฐานะที่พอจะซื้อรถจักรยานยนต์ได้แต่ยังไม่ถึงขั้นซื้อรถยนต์ โดยจะหันมาซื้อรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นแม้ว่าความเสี่ยงในการขับขี่จะสูง แต่ยังคงให้ความสะดวกมากกว่าการใช้บริการขนส่งมวลชนของรัฐ